
เคล็ดลับสู่การเกิดผล 100 เท่า
June 1, 2024
เคล็ดลับสู่การเกิดผล 100 เท่า
“1แล้วพระเยซูทรงสอนที่ริมทะเลสาบอีก ฝูงชนรุมล้อมพระองค์แน่นขนัดจนพระองค์ต้องเสด็จลงไปประทับนั่งในเรือ ขณะที่ประชาชนอยู่ที่ชายฝั่ง 2พระองค์ทรงยกคำอุปมาสอนหลายสิ่งแก่พวกเขาว่า 3“ฟังเถิด! ชาวนาผู้หนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช 4ขณะที่หว่านบางเมล็ดก็ตกตามทางและนกมาจิกกินหมด 5บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหินซึ่งมีเนื้อดินน้อยจึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินตื้น 6แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไปเพราะไม่มีราก 7บางเมล็ดตกกลางพงหนาม ต้นหนามก็งอกคลุมจึงไม่เกิดผล 8แต่ยังมีเมล็ดบางส่วนตกบนดินดี งอกขึ้นมา เติบโตและเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า หรือถึงร้อยเท่า” 9แล้วพระเยซูตรัสว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด”” (มาระโก 4:1-9)
1. กำจัด
“บางคนก็เป็นเหมือนเมล็ดพืชที่ตกตามทาง ทันทีที่เขาได้ยิน ซาตานก็มาฉวยเอาพระวจนะที่หว่านลงใน (ใจ) เขาไป”
มาระโก 4:15)
1. ดิน
“53เมื่อพระเยซูตรัสคำอุปมาเหล่านี้จบแล้วก็เสด็จออกจากที่นั่น 54เมื่อมาถึงบ้านเกิดของพระองค์ พระองค์ทรงสั่งสอนประชาชนในธรรมศาลาและพวกเขาก็ประหลาดใจและพูดกันว่า “คนนี้ได้สติปัญญาและฤทธิ์อำนาจอัศจรรย์เหล่านี้มาจากไหน?” (มัทธิว 13:53-54)
“55เขาเป็นลูกช่างไม้ไม่ใช่หรือ? แม่ของเขาชื่อมารีย์และน้องชายของเขาคือยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาส ไม่ใช่หรือ?” 56น้องสาวของเขาทุกคนก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ? แล้วเขาได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหนกัน?” (มัทธิว 13:55-56)
“สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ” (ยอห์น 1:46)
“เขาทั้งหลายจึงไม่พอใจพระองค์” (มัทธิว 13:57)
“พวกเขาไม่มีความเชื่อ” (มัทธิว 13:58)
“พระองค์ทรงเข้ามาในดินแดนของพระองค์เอง แต่คนของพระองค์เองไม่ยอมรับพระองค์” (ยอห์น 1:11)
“46ขณะพระเยซูกำลังตรัสอยู่กับฝูงชน มารดาและบรรดาน้องชายของพระองค์มายืนอยู่ด้านนอกต้องการจะพูดกับพระองค์ 47มีผู้ทูลพระเยซูว่า “มารดาและน้องชายของท่านมายืนอยู่ด้านนอกต้องการจะพูดกับท่าน” 48พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า “ใครคือมารดาและใครคือพี่น้องของเรา?” 49พระองค์ทรงชี้ไปที่เหล่าสาวกของพระองค์และตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา 50เพราะผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราในสวรรค์ ผู้นั้นคือมารดาและพี่น้องชายหญิงของเรา”” (มัทธิว 12:46-50)
“53เมื่อพระเยซูตรัสคำอุปมาเหล่านี้จบแล้วก็เสด็จออกจากที่นั่น 54เมื่อมาถึงบ้านเกิดของพระองค์ พระองค์ทรงสั่งสอนประชาชนในธรรมศาลาและพวกเขาก็ประหลาดใจและพูดกันว่า “คนนี้ได้สติปัญญาและฤทธิ์อำนาจอัศจรรย์เหล่านี้มาจากไหน? 55เขาเป็นลูกช่างไม้ไม่ใช่หรือ? แม่ของเขาชื่อมารีย์และน้องชายของเขาคือยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาส ไม่ใช่หรือ?” 56น้องสาวของเขาทุกคนก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ? แล้วเขาได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหนกัน? 57เขาทั้งหลายจึงไม่พอใจพระองค์ ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระวจนะขาดคนนับถือก็แต่เฉพาะในบ้านเดิมและในครอบครัวของตนเอง” 58และพระองค์ไม่ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์ที่นั่นมากนักเนื่องจากพวกเขาไม่มีความเชื่อ
(มัทธิว 13:53-58)
“16บางคนก็เหมือนเมล็ดพืชที่หว่านลงบนพื้นหินเมื่อได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี (Emotional response)
17แต่เนื่องจากไม่ได้หยั่งรากลึกจึงคงอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้นพวกเขาก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว”
(มาระโก 4:16-17)
2. ดิน
“แต่ผู้ใดที่ทนได้ถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด” (มัทธิว 10:22)
“18บางคนเหมือนเมล็ดพืชที่หว่านลงกลางพงหนาม คือได้ยินพระวจนะ 19แต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ ความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติ และความอยากได้ใคร่มีในสิ่งต่างๆ เข้ามารัดพระวจนะนั้นทำให้ไม่เกิดผลเขาจึงไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่”
(มาระโก 4:18-19; ลูกา 8:14)
3. ดิน
“การเป็นมิตรกับโลกนั้น คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า” (ยากอบ 4:4)
“จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก” (มัทธิว 7:13)
“เมล็ดที่ตก…คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ” (มัทธิว 13:20, 22, 23)
“ไม่มีผู้ใดเมื่อจุดตะเกียงแล้วจะเอาภาชนะครอบไว้ หรือวางไว้ใต้เตียงแต่ตั้งไว้ที่เชิงตะเกียง เพื่อคนทั้งหลายที่เข้ามา จะเห็นแสงสว่างได้” (ลูกา 8:16)
“เพื่อท่านจะได้ดำเนินชีวิตอย่างสมกับที่เป็นคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจะได้เป็นที่พอพระทัยในทุกด้าน คือ เกิดผลในการดีทุกอย่าง รู้จักพระเจ้าดียิ่งขึ้น” (โคโลสี 1:10)
“ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (มัทธิว 5:16)
2. สร้างนิสัย
“23คนอื่นๆ เหมือนเมล็ดพืชที่หว่านลงบนดินดี คือผู้ที่ได้ยิน
พระวจนะและเข้าใจผู้ที่จิตใจดีงามสูงส่ง ได้ยิน
พระวจนะแล้วรับไว้และเกิดผลด้วยความอดทนบากบั่น
และเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า หรือถึงร้อยเท่าของที่หว่านลงไป” (มัทธิว 13:23; มาระโก 4:20; ลูกา 8:15)
“ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า”
(โรม 3:10-11)
“เจ้าจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่มีวันเข้าใจ เจ้าจะดูแล้วดูเล่า แต่จะไม่มีวันประจักษ์ เพราะจิตใจของชนชาตินี้ดื้อด้านไป พวกเขาไม่ยอมเปิดหูเปิดตา”
(มัทธิว 13:14-15)
“พระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามาหาพระองค์และตรัสว่า “จงฟังและเข้าใจเถิด”
(มัทธิว 15:10)
“แล้วพระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่งและตรัสว่า
“ทุกคนจงฟังและเข้าใจข้อนั้น
(มาระโก 7:14)
“เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!”
(2 โครินธ์ 5:17)
“แต่จงขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านเป็นทาสของบาป แต่บัดนี้ท่านมีใจเชื่อฟังหลักคำสอนนั้นซึ่งทรงให้ครอบครองท่าน”
(โรม 6:17)
“โอ อยากให้มีจิตใจเช่นนี้อยู่เสมอไปหนอ คือที่จะยำเกรงเราและรักษาบัญญัติทั้งสิ้นของเรา เขาทั้งหลายก็จะสุขเจริญอยู่ตลอดชั่วลูกหลานของเขาเป็นนิตย์”
(เฉลยธรรมบัญญัติ 5:29)
“ยิวชาวเมืองนั้นมีจิตใจสูงกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกา ด้วยเขามีใจเลื่อมใสรับพระวจนะของพระเจ้า และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่าข้อความเหล่านั้นจะจริงดังกล่าวหรือไม่”
(กิจการ 17:11)
“เราขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้รับพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกำลังทำงานอยู่ภายในท่านทั้งหลายที่เชื่อ”
(1 เธซะโลนิกา 2:13)
3. ตั้งใจถวายเกียรติแด่พระบิดาโดยการเกิดผลมาก
“16พวกท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกพวกท่านและแต่งตั้งให้พวกท่านไปและเกิดผล เป็นผลซึ่งจะอยู่ถาวร แล้วสิ่งใดที่พวกท่านทูลขอในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่พวกท่าน 17นี่คือคำบัญชาของเรา คือจงรักซึ่งกันและกัน” (ยอห์น 15:16-17)
“เมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมากก็เป็นการถวายเกียรติสิริแด่พระบิดาของเรา” (ยอห์น 15:8)
1. เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ที่จะเชื่อว่าพระเจ้าเน้นคุณภาพเท่านั้นแต่ไม่เน้น
2. เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ที่จะเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้เกิดผลในขณะที่พระเยซูตรัสว่าท่านต้อง
3. เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ที่จะเชื่อว่าคุณไม่สามารถเกิดผล 30, 60,
4. เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ที่จะเชื่อว่าคุณสามารถเกิดผลได้ไม่
“เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามีพยานหมู่ใหญ่พรั่งพร้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว ก็ให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น ให้เราวิ่งด้วยความอดทนบากบั่นไปตามลู่ที่ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา” (ฮีบรู 12:1)